หน้าแรก Blog อสังหาริมทรัพย์ ขั้นตอนการซื้อห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ในประเทศไทยสำหรับชาวต่างชาติ
ขั้นตอนการซื้อห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ในประเทศไทยสำหรับชาวต่างชาติ

ขั้นตอนการซื้อห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ในประเทศไทยสำหรับชาวต่างชาติ

ขั้นตอนการซื้อห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ในประเทศไทยสำหรับชาวต่างชาติ (ข้อมูล ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2567)

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ผมยินดีให้ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนที่ชาวต่างชาติจะซื้อห้องชุดในประเทศไทยได้อย่างละเอียด ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการโอนกรรมสิทธิ์ ดังนี้ครับ

หลักการสำคัญ: กฎหมายอนุญาตให้ชาวต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดได้

พระราชบัญญัติอาคารชุดอนุญาตให้ชาวต่างชาติสามารถซื้อและถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดในประเทศไทยได้โดยตรงภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือ:

  • สัดส่วนการถือกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติ (Foreign Ownership Quota): ชาวต่างชาติและนิติบุคคลต่างด้าวสามารถถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดรวมกันได้ไม่เกินร้อยละ 49 ของเนื้อที่ห้องชุดทั้งหมดในอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) นั้นๆ อีกร้อยละ 51 หรือมากกว่าจะต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลหรือนิติบุคคลสัญชาติไทย

ขั้นตอนการซื้อห้องชุดสำหรับชาวต่างชาติ:

ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนโดยละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการโอนกรรมสิทธิ์:

ระยะที่ 1: การเตรียมการและตรวจสอบเบื้องต้น (Due Diligence)

  1. กำหนดงบประมาณและความต้องการ:
    • พิจารณางบประมาณทั้งหมด รวมถึงราคาห้องชุด ค่าธรรมเนียมต่างๆ ค่าตกแต่ง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
    • กำหนดความต้องการ เช่น ทำเลที่ตั้ง ขนาดห้องชุด จำนวนห้องนอน สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ฯลฯ
  2. ค้นหาและเลือกห้องชุด:
    • ค้นหาห้องชุดผ่านช่องทางต่างๆ เช่น เว็บไซต์ https://asanghatoday.com / https://condoluxmall.com
    • เข้าเยี่ยมชมโครงการและห้องชุดที่สนใจ
  3. ตรวจสอบสถานะโครงการและห้องชุด (Due Diligence): นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก
    • ตรวจสอบโควต้าต่างชาติ: สอบถามกับทางผู้ขายหรือนิติบุคคลอาคารชุดว่ายังมีโควต้าสำหรับชาวต่างชาติเหลืออยู่หรือไม่ในโครงการนั้น หรือปรึกษาตัวแทน นายหน้าที่ดูแลห้องชุด
    • ตรวจสอบผู้ขาย:
      • กรณีซื้อจากผู้พัฒนาโครงการโดยตรง (โครงการใหม่): ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้พัฒนาโครงการ ใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร (อ.1) ใบอนุญาตจดทะเบียนอาคารชุด (อ.ช.5) และสถานะทางการเงินของบริษัท
      • กรณีซื้อจากเจ้าของเดิม (ห้องชุดมือสอง): ตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ห้องชุด (หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด หรือ อ.ช.2) ว่าผู้ขายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง ปลอดภาระผูกพันใดๆ เช่น การจำนอง หรือมีภาระหนี้สินกับนิติบุคคลอาคารชุดหรือไม่
    • ตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ห้องชุด (อ.ช.2): ดูรายละเอียดเกี่ยวกับขนาดห้องชุด สัดส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง ชื่อเจ้าของปัจจุบัน และภาระผูกพัน (ถ้ามี)
    • ตรวจสอบข้อมูลนิติบุคคลอาคารชุด: สอบถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายส่วนกลาง (Common Fee) กองทุนอาคารชุด (Sinking Fund) ระเบียบของอาคารชุด และสถานะทางการเงินของนิติบุคคลฯ
  4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:
    • แนะนำให้ปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์ในการทำธุรกรรมของชาวต่างชาติ เพื่อให้คำแนะนำและตรวจสอบเอกสารต่างๆ ให้ถูกต้อง

ระยะที่ 2: การดำเนินการเกี่ยวกับเงินทุนและการทำสัญญา

  1. การนำเงินเข้ามาในประเทศไทย:
    • ชาวต่างชาติต้องแสดงหลักฐานว่าได้นำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยเพื่อซื้อห้องชุด หรือถอนเงินจากบัญชีเงินบาทของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ หรือถอนเงินจากบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ
    • จำนวนเงินที่นำเข้าต้องเพียงพอสำหรับราคาห้องชุดทั้งหมด
    • เมื่อโอนเงินเข้ามา ธนาคารในประเทศไทยจะออกเอกสารสำคัญคือ “ใบรับรองการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ” (Foreign Exchange Transaction Form – FET Form หรือเดิมเรียกว่า ท.ต.3 / Thor Tor 3) สำหรับยอดเงินตั้งแต่ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป (หรือเทียบเท่าในสกุลเงินอื่น) หรือหนังสือรับรองจากธนาคารสำหรับยอดเงินที่ต่ำกว่านั้น เอกสารนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่กรมที่ดิน
    • ข้อควรระวัง: ชื่อผู้ซื้อในเอกสาร FET และชื่อผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจะต้องเป็นชื่อเดียวกัน
  2. การทำสัญญาจะซื้อจะขาย (Sale and Purchase Agreement – SPA):
    • เมื่อตกลงราคาและเงื่อนไขต่างๆ ได้แล้ว จะมีการทำสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
    • สัญญาควรระบุรายละเอียดสำคัญ:
      • ข้อมูลผู้ซื้อและผู้ขาย
      • รายละเอียดของห้องชุด (เลขที่ห้อง ชั้น อาคาร ชื่อโครงการ เนื้อที่)
      • ราคาขายที่ตกลงกัน
      • กำหนดการชำระเงิน (เช่น เงินมัดจำ เงินดาวน์ (ถ้ามี) และเงินส่วนที่เหลือ)
      • กำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์
      • ความรับผิดชอบในเรื่องค่าธรรมเนียมและภาษีต่างๆ ณ กรมที่ดิน (โดยทั่วไปมักจะแบ่งกันคนละครึ่ง หรือตามที่ตกลง)
      • เงื่อนไขการผิดสัญญาและค่าปรับ
      • การรับประกัน (ถ้าเป็นการซื้อจากโครงการใหม่)
    • ควรให้ทนายความตรวจสอบสัญญาก่อนลงนาม
  3. การชำระเงินตามสัญญา:
    • เงินมัดจำ (Deposit): ชำระเมื่อลงนามในสัญญาจะซื้อจะขาย
    • เงินดาวน์ (Down Payment): หากเป็นการซื้อโครงการใหม่ที่ยังสร้างไม่เสร็จ อาจมีการผ่อนชำระเป็นงวดๆ
    • เงินส่วนที่เหลือ (Final Payment): ชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์

ระยะที่ 3: การโอนกรรมสิทธิ์ ณ กรมที่ดิน

  1. เตรียมเอกสารสำหรับการโอนกรรมสิทธิ์:
    • เอกสารส่วนผู้ซื้อ (ชาวต่างชาติ):
      • หนังสือเดินทาง (Passport) ฉบับจริง พร้อมสำเนาที่รับรองสำเนาถูกต้อง
      • วีซ่าที่ยังไม่หมดอายุ (บางกรณีอาจไม่ต้องใช้ แต่ควรเตรียมไว้)
      • ใบรับรองการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FET Form/ท.ต.3) หรือหนังสือรับรองจากธนาคารที่แสดงการนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาเพื่อซื้อห้องชุด (ต้นฉบับ)
      • หนังสือมอบอำนาจ (กรณีไม่ได้ไปดำเนินการด้วยตนเอง) ต้องผ่านการรับรองจากสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ หรือ Notary Public และแปลเป็นภาษาไทยพร้อมรับรองคำแปล
      • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับมอบอำนาจ (ถ้ามี)
      • บางกรณีอาจต้องใช้หนังสือรับรองสถานะโสด หรือทะเบียนสมรส (พร้อมคำแปลภาษาไทยที่รับรองแล้ว) หากต้องการระบุชื่อคู่สมรสในฐานะเจ้าของร่วม (ต้องตรวจสอบเงื่อนไขการถือกรรมสิทธิ์ร่วมของชาวต่างชาติกับคู่สมรส)
    • เอกสารส่วนผู้ขาย:
      • กรณีเป็นบุคคลธรรมดา (ไทยหรือต่างชาติ):
        • หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อ.ช.2) ฉบับจริง
        • บัตรประจำตัวประชาชน (สำหรับคนไทย) หรือหนังสือเดินทาง (สำหรับชาวต่างชาติ) ฉบับจริง พร้อมสำเนา
        • ทะเบียนบ้าน (สำหรับคนไทย) ฉบับจริง พร้อมสำเนา
        • หนังสือยินยอมของคู่สมรส (ถ้ามี) พร้อมสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของคู่สมรส และสำเนาทะเบียนสมรส
        • ใบปลอดภาระหนี้จากนิติบุคคลอาคารชุด (สำคัญมาก แสดงว่าไม่มีหนี้ค่าส่วนกลางค้างชำระ)
        • หนังสือมอบอำนาจ (กรณีไม่ได้ไปดำเนินการด้วยตนเอง)
      • กรณีเป็นนิติบุคคล (ผู้พัฒนาโครงการ):
        • หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อ.ช.2) ฉบับจริง
        • หนังสือรับรองนิติบุคคล (อายุไม่เกิน 1-3 เดือน)
        • บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5)
        • สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนบ้านของกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม
        • รายงานการประชุมกรรมการอนุมัติให้ขาย
        • ตราประทับของบริษัท (ถ้ามี)
        • ใบปลอดภาระหนี้จากนิติบุคคลอาคารชุด (กรณีนิติบุคคลฯ จัดตั้งแล้ว)
        • หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
  2. นัดหมายวันโอนกรรมสิทธิ์ ณ สำนักงานที่ดิน:
    • สำนักงานที่ดินที่อาคารชุดนั้นตั้งอยู่ในเขตอำนาจ
    • ผู้ซื้อ ผู้ขาย หรือตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจ จะต้องไปพร้อมกัน
  3. ดำเนินการ ณ สำนักงานที่ดิน:
    • ยื่นคำขอและเอกสารทั้งหมดต่อเจ้าหน้าที่
    • เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารและความถูกต้อง รวมถึงตรวจสอบโควต้าต่างชาติ
    • ประเมินราคาห้องชุดเพื่อคำนวณค่าธรรมเนียมและภาษี
    • ชำระค่าธรรมเนียมและภาษีต่างๆ:
      • ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์: 2% ของราคาประเมินหรือราคาซื้อขาย (แล้วแต่อย่างใดจะสูงกว่า) โดยทั่วไปผู้ซื้อและผู้ขายมักจะแบ่งชำระคนละครึ่ง (1% ต่อฝ่าย) หรือตามที่ตกลงในสัญญา
      • ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax – SBT): 3.3% ของราคาขายหรือราคาประเมิน (แล้วแต่อย่างใดจะสูงกว่า) กรณีผู้ขายถือครองห้องชุดน้อยกว่า 5 ปี หรือมีชื่อในทะเบียนบ้านน้อยกว่า 1 ปี (มีข้อยกเว้นบางประการ) โดยทั่วไปผู้ขายเป็นผู้ชำระ
      • อากรแสตมป์ (Stamp Duty): 0.5% ของราคาขายหรือราคาประเมิน (แล้วแต่อย่างใดจะสูงกว่า) จะเสียอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างอากรแสตมป์หรือภาษีธุรกิจเฉพาะ (หากเสียภาษีธุรกิจเฉพาะแล้ว จะได้รับการยกเว้นอากรแสตมป์) โดยทั่วไปผู้ขายเป็นผู้ชำระ
      • ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax): คำนวณตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร ขึ้นอยู่กับว่าผู้ขายเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล และระยะเวลาการถือครอง โดยทั่วไปผู้ขายเป็นผู้ชำระ
    • เจ้าหน้าที่จดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ในหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อ.ช.2) โดยระบุชื่อผู้ซื้อชาวต่างชาติเป็นเจ้าของคนใหม่
    • ผู้ซื้อจะได้รับหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อ.ช.2) ฉบับจริงที่มีชื่อตนเองเป็นเจ้าของ

ระยะที่ 4: หลังการโอนกรรมสิทธิ์

  1. ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร:
    • เมื่อได้รับหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อ.ช.2) แล้ว ควรตรวจสอบความถูกต้องของชื่อผู้ซื้อ รายละเอียดห้องชุด และข้อมูลอื่นๆ ให้ครบถ้วน
  2. แจ้งข้อมูลกับนิติบุคคลอาคารชุด:
    • นำสำเนาหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดไปแจ้งต่อนิติบุคคลอาคารชุดเพื่ออัปเดตข้อมูลเจ้าของห้องชุดคนใหม่สำหรับการติดต่อและชำระค่าส่วนกลาง
  3. อื่นๆ:
    • ดำเนินการเรื่องสาธารณูปโภค เช่น มิเตอร์ไฟฟ้า มิเตอร์น้ำ อินเทอร์เน็ต ให้เป็นชื่อของผู้ซื้อ
    • พิจารณาทำประกันภัยทรัพย์สินสำหรับห้องชุด

ข้อควรจำสำหรับชาวต่างชาติ:

  • กฎหมายเปลี่ยนแปลงได้: กฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลง ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดเสมอ
  • ความสำคัญของ FET Form: เอกสารนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง หากไม่มีเอกสารนี้ จะไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้
  • ความซื่อสัตย์ในการทำธุรกรรม: หลีกเลี่ยงการใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น การใช้นอมินีในการซื้อที่ดิน เพราะการซื้อห้องชุดเป็นช่องทางที่กฎหมายอนุญาตโดยตรงอยู่แล้ว

การดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างรอบคอบและถูกต้อง จะช่วยให้ชาวต่างชาติสามารถซื้อและเป็นเจ้าของห้องชุดในประเทศไทยได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยครับ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมในขั้นตอนใด สามารถสอบถามได้เสมอครับ

Add comment

Our Newsletter

Get subscribed today!

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing. Ut eleifend scelerisque nisi mauris
Get subscribed today!
© 2018-2025 Asangha Today. All rights reserved.